เรื่องสั้น "ปากพระร่วง"
ปากพระร่วง
Story By สรรัตน์ จิรบวรวิสุทธิ์
ผมไม่รู้เหมือนกันว่า... ทำไมอยู่ดีๆอำนาจลึกลับจึงเกิดขึ้นได้ในตัวผม
? อำนาจนี้มาจากไหน ? มาได้อย่างไร
?
คำตอบเหล่านี้ยังมืดมนอยู่... ที่จริงอำนาจลึกลับที่ว่านี้น่าจะเกิดกับคนที่ดีกว่านี้
เพราะผมเป็นเพียงนักพนันกิ๊กก๊อกคนหนึ่งเท่านั้น ข้อดีประการเดียวของผมก็คือ
...ความขี้ขลาดอย่างมหันต์ที่ว่าเป็นความดีก็เพราะไอ้เจ้าความขี้ขลาดนี่แหละที่ช่วยยับยั้งไม่ให้เลยเถิดถึงขั้นเป็นฆาตกร!
อำนาจลึกลับของผมมันเริ่มเกิดขึ้นในคืนนั้น...คืนที่ผมโทรศัพท์ไปทะเลาะกับโต๊ะรับพนันบอลในที่สุดเมื่อตกลงกันไม่ได้
ผมก็ตะโกนใส่เจ้าหมอนั่นด้วยความโมโหว่า
“ไอ้เบื๊อก
ไปตายซะ ไป๊ !”
แล้วก็กระแทกหูโทรศัพท์ดังโครม ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้อีกเลย...
จนกระทั่ง
วันรุ่งขึ้นผมได้ข่าวว่าเจ้ามือรับแทงบอลคนนั้นตายเสียแล้ว...
ตายในขณะที่กำลังกำกระบอกโทรศัพท์ในมือไว้แน่น!นี่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญหรือ? ผมรู้สึกสงสัยและอยากค้นหาคำตอบให้แน่ใจ ดังนั้นผมจึงเปิดหนังสือพิมพ์ของวันนี้แล้วจดรายชื่อเจ้าของโต๊ะบอลตัวเองที่ผมติดหนี้พนันอยู่
รวมทั้งไอ้พวกที่ผมเกลียดขี้หน้าด้วยประมาณ 20 คน
จากนั้นก็โทรศัพท์ไปหาคนเหล่านั้นทีละคน...ทีละคน...
ผมด่าใส่คนพวกนั้นว่า
“ไปตายซะเถอะ!”
ผลปรากฏว่า... ทุกคนก็ตายจริงๆ ! ผมเริ่มตระหนักว่าผมมีอำนาจลึกลับจริงๆ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ?หรือเป็นเพราะว่า .....วันนั้น
ผมขับรถกลับบ้านหลังจากไปเยี่ยมแม่ที่อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ ขณะใกล้เข้าตัวเมืองสุโขทัย สายตาเหลือบซ้ายเห็นป้ายบอกทางเข้าวัด เมื่อขามาไม่สังเกต แต่ขากลับเห็นเด่นถนัดตา วัดกุฎีพระร่วง
ความเร็วของรถชะลอลงทันใดคล้ายมีมนต์ขลังบางอย่างดึงให้ต้องสนใจ
ปุบปับตัดสินใจเลี้ยวเข้าซอย ดีเหมือนกัน เข้าวัดเข้าวาเสียบ้างจะได้ล้างความเลวออกจากตัวลองเข้าไปดูเสียหน่อยว่าสภาพวัดเป็นอย่างไร
ใจไม่คาดหวังอะไรเลย เพราะรู้ดีว่า
วัดก็คือวัดที่อยู่ของพระสงฆ์วัดกุฎีพระร่วง เป็นวัดที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก อายุของวัดเท่าที่ดูจากสภาพกุฏิก็ประมาณเกือบสองร้อยปี
แต่เจดีย์บางองค์ดูเหมือนจะเก่าแก่มากกว่านั้น
“ไม่มีใครรู้ว่าอายุที่แท้จริงของวัดนี้เก่าแก่เท่าไหร่
แต่บางคนเชื่อกันว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยสุโขทัยโน่นแหละ”
มัคนายกที่ผมไปคุยด้วยบอก
“นานขนาดนั้นเชียวหรือ ?” ผมทำเสียงไม่เชื่อ
“ผมเองก็ไม่ยืนยันเหมือนกันเพียงแต่คนเก่าแก่แถวนี้เขาพูดกันผมน่ะเพิ่งย้ายมาอยู่เมื่อยี่สิบกว่าปีมานี้เอง”
“ทางกรมศิลปากรน่าจะให้คำตอบได้”
ผมว่า
“เคยมาสำรวจครั้งหนึ่ง
นานมาแล้วแต่ไม่เห็นมีอะไรคืบหน้าทางวัดก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากนักเพราะว่าเราไม่มีโบราณสถานอะไรที่สำคัญ
เห็นเจ้าหน้าที่เขาว่าเป็นวัดที่สร้างขึ้นทับที่วัดเดิม และทำลายสภาพเดิมจนแทบไม่มีอะไรไว้ให้พิสูจน์ได้ว่าเป็นวัดยุคไหน”
“มีคนมาที่วัดนี้มากหรือเปล่า ?” ผมถามอย่างชวนคุย
“วันพระก็มากหน่อยแต่ไม่คึกคักมากนักหรอกเดี๋ยวนี้คนไทยเข้าวัดน้อยลงทุกที”
เสียงของมัคนายกอ่อนเนือยเหมือนปลงตก
“งั้นผมถามอีกหน่อย”
“ถามมากๆก็ได้ไม่ว่าหรอก
กำลังเปรี้ยวปากอยากจะมีคนคุยด้วยพอดี” มัคนายกขยับตัวอย่างขมีขมันตามประสาคนแก่ที่ว่างงาน
“วัดนี้มีวัตถุมงคลขลังๆ
ให้เช่าบูชาบ้างไม๊? ” บางทีนักเสี่ยงโชคอย่างผมก็ต้องการที่พึ่งทางใจ
มัคนายกหัวเราะหึ หึ มองหน้า ก่อนตอบเสียงหนักๆ
มัคนายกหัวเราะหึ หึ มองหน้า ก่อนตอบเสียงหนักๆ
“มี ”
ผมพรายยิ้มที่มุมปาก ดีเหมือนกันจะได้ไม่เสียเที่ยว
“ตามผมมาสิ”
ผมเดินตามหลังแกมาถึงท้ายวัดก็เห็นป่าช้าที่เก็บศพทำด้วยคอนกรีตมีระเบียบด้านหนึ่งมีโกศสำหรับคนตายที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่
อีกด้านหนึ่งเป็นเจดีย์ขนาดเล็กที่บรรจุกระดูกของผู้ตาย ซึ่งก็จัดเรียงอย่างมีระเบียบเช่นเดียวกัน
หน้าซองเก็บศพไม่ถึงครึ่งมีแจกันดอกไม้และกระถางธูปตั้งอยู่ แต่มีเพียงสองถึงสามซองเท่านั้นที่ดอกไม้ค่อนข้างสด
ส่วนมากแล้วดอกไม้จะแห้งเหี่ยวพับคอติดอยู่กับแจกัน
เพราะคนที่มาเยี่ยมศพครั้งสุดท้ายนานมากแล้ว
ถึงสภาพโดยทั่วไปจะสะอาดสะอ้านพอสมควร
แต่ความน่ากลัวก็ยังแฝงอยู่ในบริเวณนั้นแม้ว่าจะเป็นเวลากลางวันก็ตาม บางทีอาจจะเป็นเพราะสัญชาตญาณของมนุษย์ที่ทำให้รู้สึกอย่างนั้น
เดินตามแนวที่เก็บศพจนเกือบถึงท้ายวัดก็เห็นบ้านไม้ค่อนข้างเก่าหลังหนึ่งทั้งบ้านมีอยู่สองห้อง
คือห้องนอนกับห้องน้ำ ที่รับแขกเป็นนอกชานขนาดเล็กยกพื้นขึ้นจากพื้นดินประมาณสองศอก
“รอเดี๋ยวนะ”
มัคนายกพูดก่อนที่จะหายเข้าไปในห้องนอน
สักพักหนึ่งจึงออกมาพร้อมด้วยของบางอย่างในมือ
“คุณรับไปดูสิ”
ผมเอื้อมมือไปรับเอาสายสร้อยเชือกไนล่อนมาดูมีวัตถุห้อยอยู่เพียงชิ้นเดียว
วัตถุนั้นเลี่ยมพลาสติกเอาไว้เรียบร้อย
เมื่อพิจารณาดูก็พบว่าเป็นรูปหล่อโลหะสีเงินปนเทาเก่ามาก
พอดูออกว่าเป็นรูปคนสวมเครื่องทรงคล้ายกษัตริย์โบราณ แม้ว่าจะไม่ชัดนักก็ตาม
“อะไรเนี่ย?”
“พระร่วง”
“ไม่เห็นเคยได้ยินชื่อ”
“ในพงศาวดารไทยมีกษัตริย์พระองค์หนึ่งมีอภินิหารมาก
ว่ากันว่ามีวาจาสิทธิ์พูดอะไรก็เป็นเช่นนั้น กษัตริย์พระองค์นี้เรียกกันมาว่า
พระร่วงและเติมคำว่า วาจาสิทธิ์ ต่อท้ายพระนาม คุณอยากฟังเรื่องของพระองค์ไหมล่ะ”
ผมพยักหน้า ยอมฟังแบบเสียไม่ได้
“เรื่องพระร่วงเป็นตำนานอิงประวัติศาสตร์ก่อนสุโขทัยเป็นราชธานี
ในสมัยนั้นดินแดนสุวรรณภูมิ หรือประเทศไทยในปัจจุบันตกอยู่ภายใต้อำนาจของขอมรวมทั้งเมืองละโว้
หรือลพบุรี
พระร่วงเป็นบุตรนายคงเคราและนางจันทร์ซึ่งเป็นชาวเมืองละโว้
นายคงเคราเป็นนายกองส่งส่วยน้ำแก่เมืองขอม ทำหน้าที่ลำเลียงน้ำศักดิ์สิทธิ์ในทะเลสาบชุบศรเมืองละโว้
ไปยังนครธม เมืองขอม เพื่อใช้ในพระราชพิธีสำคัญ มีกำหนด 3 ปีต่อครั้ง ครั้งละ 50
เล่มเกวียน
ครั้นเมื่อพระร่วงเจริญวัยจึงต้องรับหน้าที่ส่งน้ำต่อจากบิดา
พระร่วงนั้นเป็นผู้มีวาจาสิทธิ์ คือพูดอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น เช่นพูดให้น้ำไหลกลับ
น้ำก็ไหลกลับ สั่งให้ปลาที่คนกินเหลือแต่ก้างกลับมีชีวิตปลาก็มีชีวิต”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมถามขึ้นเสียงสูงอย่างไม่อยากจะเชื่อถือ
“ครับ!” แกตอบเสียงดังหนักแน่นเหมือนเห็นมากับตา
“ปลาชนิดนั้น ชาวบ้านเรียกว่า
‘ปลาพระร่วง’ หรือ ‘ปลาก้าง’ เป็นปลาที่มีเนื้อใสๆ
เห็นก้างด้านในชัดเจนมาจนถึงทุกวันนี้”
ผมพยักหน้าเออออห่อหมกไปเรื่อย
“ครั้งนั้น
เกิดข้าวยากหมากแพงไปทั่ว ประชาชนอดอยากไม่สามารถจำนำน้ำไปส่งส่วยได้ ทางเมืองขอมจึงใช้เสนามาทวงถามและให้ส่งส่วยน้ำให้ได้
พระร่วงก็บอกว่าชาวเมืองอดอยากไม่สามารถจะขนน้ำไปส่งส่วยได้
จึงขอให้เสนาขอมนำน้ำไปเองเสนาขอมกล่าวว่าตนมีพลพรรคมาน้อยไม่สามารถจะขนน้ำไปได้หมด
เพราะน้ำใส่โอ่งใส่ไหหนักมาก เกวียนของตนก็มีน้อยพระร่วงจึงท้าพนันกับเสนาขอมว่าหากตนสามารถหาภาชนะใส่น้ำตามจำนวนที่ตนต้องการและบรรทุกเกวียนได้หมดเสนาขอมจะนำไปเองได้ไหม
เสนาขอมยอมรับพนันเพราะเห็นว่าไม่มีหนทางจะบรรทุกน้ำใส่ในเกวียนได้ไปได้
พระร่วงจึงให้ชาวเมืองช่วยกันสานชะลอมเป็นตาถี่ๆและมีการชันยาภายในทำให้น้ำไม่รั่วออก
ซึ่งเบากว่าโอ่งน้ำและใส่น้ำลงในชะลอมแล้วพระร่วงก็กล่าววาจาไม่ให้น้ำรั่วน้ำก็บรรจุอยู่ในชะลอมได้
เสนาขอมเห็นเป็นอัศจรรย์จึงจำยอมต้องบรรทุกน้ำกลับเมืองขอม
พระเจ้าพินธุมบดีเจ้าเมืองขอมเห็นเข้าก็ไม่พอใจรู้ว่าเป็นผู้มีบุญญาธิการมาเกิด
เกรงว่าถ้าปล่อยไว้จะเป็นเสี้ยนหนามคิดแข็งเมืองต่อไปภายหน้า จึงคิดกำจัดเสีย พระองค์จึงส่งพญาเดโช
นักคุ้ม นักสุวรรณ ทหารขอมคุมกองทัพมาเพื่อจับตัวพระร่วง พญาเดโช เสนาขอมผู้นี้มีอิทธิฤทธิ์มากสามารถดำดินได้
พระร่วงปลุกใจคนไทยให้แข็งเมืองต่อขอม
และช่วยกันตกแต่งกำแพงเมืองให้มั่นคงเพื่อป้องกันเมืองเมื่อพระร่วงทราบข่าวว่าพระเจ้าพินธุมบดีต้องการตัวพระองค์ก็เกรงว่าจะทำให้เกิดสงครามคนไทยจะเสียเลือดเนื้อพระองค์จึงหนีไปเมืองสุโขทัยแล้วบวชอยู่ที่วัดพระบรมธาตุ
จากนั้นพระร่วงจึงออกอุบายให้นายมั่นพรานป่า
ให้แกล้งทำทีหลงป่ายอมให้ทหารขอมจับตัวไปเพื่อให้ไปบอกข่าวแก่พญาเดโชแม่ทัพขอมว่าพระร่วงทราบข่าวว่าขอมยกทัพมาจึงกลัวและหนีไปอยู่กรุงสุโขทัย
พญาเดโชหลงกลจึงปลอมตัวเป็นคนไทยไปตามจับตัวพระร่วงที่เมืองสุโขทัย
ในครั้งนั้น นางจันทร์ มารดาของพระร่วงและหลวงเมืองได้ออกอุบายเข้าโจมตีข้าศึกขณะนอนหลับจนกองทัพแตกพ่ายไป
ทหารชาวละโว้จึงขับไล่กองทัพขอมกลับไปด้วยอุบายของนางจันทร์
ทางด้านพญาเดโชได้ดำดินตามมาถึงวัดที่พระร่วงบวชอยู่
พบพระภิกษุรูปหนึ่งกำลังกวาดลานวัดอยู่จึงถามถึงพระร่วง พระภิกษุรูปนั้นแท้จริงก็คือพระร่วงนั่นเอง
พระร่วงจึงวางเฉยแล้วกล่าวว่า
“เจ้าจงคอยอยู่ที่นี่” แล้วก็เดินจากไป
พญาเดโช เสนาขอมนั้นจึงถูกตรึงอยู่ที่นั่นตามวาจาสิทธิ์ของพระร่วง
และกลายเป็นหินในเวลาต่อมาชาวสุโขทัยปัจจุบันยังเชื่อว่าที่บริเวณวัดพระมหาธาตุ
เมืองสุโขทัย มีก้อนหินใหญ่อยู่กลุ่มหนึ่งว่าเป็นร่าง ‘ขอมดำดินที่ถูกพระร่วงสาป’ ขณะนั้นกษัตริย์ผู้ครองเมืองสุโขทัยสวรรคต
กรมการเมืองจึงอัญเชิญพระร่วงขึ้นเป็นกษัตริย์ครองเมืองสุโขทัยสืบมา
‘พระร่วง’
พระมหากษัตริย์ในประวัติศาสตร์พระองค์นั้นเรียกเป็นภาษาบาลีว่า
‘โรจราช’ โดยทั่วไปเข้าใจว่าเป็นพระนามของ ‘พ่อขุนศรีอินทราทิตย์’
กษัตริย์ต้นราชวงศ์พระร่วงนั่นเอง”
“อือ” ผมครางในลำคออย่างรับรู้
“จากนั้นคำว่า พระร่วงเจ้า จึงใช้เรียกกษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยทุกพระองค์ว่า
พระร่วง เรื่อยมา”
แกจบนิทานปรัมปราที่อุตส่าห์เล่ามาเสียยืดยาวสักที
ผมมองวัตถุที่อยู่ในมือด้วยความรู้สึกประหลาด
“หมายความว่าของสิ่งนี้จะช่วยให้ผมมีวาจาศักดิ์สิทธิ์ได้งั้นเหรอ
?”
“ขึ้นอยู่กับอำนาจจิตของคุณว่าจะแข็งแกร่งพอหรือเปล่า”
“แล้วผมจะรู้ได้อย่างไรว่าพอหรือไม่พอ”
“นั่นเป็นเรื่องที่คุณจะต้องค้นหาเอาเอง”
“ให้เช่าเท่าไหร่ ?”
“ร้อยเก้าสิบเก้า”
มัคนายกตอบแทบจะทันควัน
“อะไรกันของศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้แค่ร้อยเก้าสิบเก้า”
“รับเอาไว้เถอะเพราะว่าของชิ้นนี้จะมีประโยชน์กับคนที่สามารถใช้ได้เท่านั้น”
“หมายความว่าลุงใช้ไม่ได้ ?”
“ถ้าใช้ได้
ผมจะมาเป็นมัคนายกอยู่อย่างนี้รึ?”
ผมยื่นธนบัตรสีแดงให้แกสองใบบอกแกว่าไม่ต้องทอน
แล้วรับวัตถุมงคลประหลาดนั้นใส่กระเป๋าเสื้อไว้ ยังดีกว่าเสียเที่ยวล่ะวะ ถือซะว่าเอาเงินให้คนแก่ซื้อเหล้ากิน
ผมคิดในใจ
ใช่แล้ว !
สายสร้อยเส้นนั้นยังอยู่ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตที่แขวนบนราวตากผ้า
ผมล้วงออกมาด้วยมือที่ชุมเหงื่อ ความคิดบางอย่างผุดขึ้นในสมอง...
ผมกลายเป็นเศรษฐีในเวลาเพียงอาทิตย์เดียว
ด้วยวิธีง่ายๆ ลงทุนแค่ครั้งละ 3
บาท โทรศัพท์ไปหาคนมีอันจะกินที่เคยรู้จักแล้วถามว่า มีเงินอยู่เท่าไหร่แกล้งพูดเล่นๆว่าให้โอนเงินทั้งหมดมาให้ผมตามหมายเลขบัญชีที่ผมเปิดไว้แล้วพวกมันก็ส่งเงินทั้งหมดมาให้จริงๆ
ด้วยวิธีเรียกเงินจากบุคคลที่ผมมีหมายเลขโทรศัพท์อยู่ในมือผมสามารถย้ายเข้าไปอยู่ในโรงแรมหรูหรา
ซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนมราคาแพงๆใส่ นอกจากนี้ยังพาสาวๆไปกินอาหารตามโรงแรมหรูๆ และเที่ยวตามผับต่างๆ
ที่จริงชีวิตอย่างนี้ก็ดีเหมือนกันนะ...
ผมนอนแช่ตัวอยู่ในอ่างจากุชชี่ของโรงแรมห้าดาว
แห่งหนึ่งกลางกรุงเทพฯ ในเมื่อผมมีอำนาจวิเศษ
ชี้เป็นชี้ตายใครก็ได้ผมน่าจะทำอะไรสักอย่างให้ประเทศชาติเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเดี๋ยวนี้พวกอาชญากรมากขึ้นทุกวัน
ทั้งพวกปล้นฆ่า ข่มขืน ก่อความไม่สงบ ฯลฯ ไปจนถึงนักการเมืองที่ชอบคอรัปชั่นโกงกินบ้านเมือง
ไม่เกรงกลัวอาญาแผ่นดิน
ทำไมผมไม่ทำหน้าที่พิพากษาพวกมันซะ ?
เดี๋ยวนี้มีอินเตอร์เนทให้ติดตามข่าวสารถ่ายทอดทั่วโลกตลอด
24 ชั่วโมง ผมน่าจะใช้อำนาจลึกลับนี้ให้คุ้มค่ามากกว่านี้ทุกครั้งที่ผมสั่งการทางโทรศัพท์
ผู้คนต่างพากันทำตาม แล้วถ้าผมลองสั่งการทางอินเตอร์เนทล่ะ แน่ล่ะ...
คงได้ผลเช่นเดียวกัน
ทีนี้ก็จะไม่มีใครกล้าทำชั่ว ดีไม่ดี เรียกเงินจากพวกมันก่อนสักร้อย-สองร้อยล้าน
ผมจะได้มีกิน มีใช้ สบายไปทั้งชาติงานนี้เป็นงานที่ใหญ่มากผมต้องวางแผนให้รอบคอบ ผมคิดวางแผนและฝันหวานไปด้วยน้ำอุ่นในอ่างช่วยให้สมองผมปลอดโปร่ง
ใครล่ะจะกล้าขัดคำสั่งผู้ที่มีวาจาสิทธิ์เช่นผม
ผมจะใช้อำนาจนี้กำจัดไอ้พวกเดนสังคมไปให้หมด
“ไปลงนรกซะ” ผมแผดเสียงอย่างลืมตัว
คุณเคยร้องเพลงในห้องน้ำไหม ? หลายคนชอบเพราะมันทำให้คุณได้ยินเสียงของตัวเองที่สะท้อนกลับมา...
รุ่งขึ้น
พนักงานทำความสะอาดของโรงแรมพบร่างของผมนอนแข็งทื่อคาอ่างจากุชชี่ในห้องน้ำ แม่บ้านคนนั้นรีบโทร 191 แจ้งความทันที ตำรวจ สน.ปทุมวัน ลงความเห็นว่า ผมหัวใจวายเฉียบพลัน ก่อนส่งร่างผมไปชันสูตรที่นิติเวชต่อไป.
* * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ส่วนแทรกสารคดีเกร็ดความรู้
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ทรงมีพระนามเดิมว่าพ่อขุนบางกลางทาวนับเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์พระร่วง
พระราชประวัติตอนต้นของพระองค์ยังไม่อาจระบุแน่ชัดว่าเป็นเจ้าเมืองใดมาก่อน
พระองค์ได้อภิเษกกับนางเสือง ทรงมีพระราชโอรส 2
พระองค์ คือพ่อขุนบานเมืองและพ่อขุนรามคำแหง พระองค์ทรงครองราชสมบัติ ตั้งแต่ พ.ศ.1781
แต่ไม่ปรากฏปีที่สิ้นสุดการครองราชย์สมบัติ
พระองค์ทรงเป็นผู้นำที่มีพระปรีชาสามารถทรงนำชนชาติไทยต่อสู้กับชนชาติขอมซึ่งเป็นใหญ่อยู่ในสุวรรณภูมิอันเป็นที่ตั้งของประเทศไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบัน
ทรงได้ชัยชนะขอม และประกาศอิสรภาพ ตั้งราชอาณาจักรสุโขทัยและทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์แรก
ในระยะเริ่มต้นของการสถาปนากรุงสุโขทัยเป็นราชธานี
อาณาจักรสุโขทัยยังไม่มั่นคงเป็นปึกแผ่นเพราะบรรดาเมืองต่างๆ
ยังคงเป็นอิสระในการปกครองตนเองจึงมีการทำศึกสงครามแย่งชิงอำนาจและขยายอาณาเขตอยู่เสมอ
เช่น ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดยกทัพมาตีตากทำให้สุโขทัยต้องยกทัพไปปราบเป็นต้น
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์สามารถสถาปนาสุโขทัยให้เป็นอาณาจักรที่มีความมั่นคงเป็นปึกแผ่นมีอำนาจทางการเมืองเหนืออาณาจักรอื่นๆ
และทำให้บรรดาหัวเมืองต่างๆที่มีคนไทยเป็นเจ้าเมืองยอมสวามิภักดิ์ขึ้นตรงต่อกษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย
Cover Illustration by Pairpan Mathaprechakun
Cover Illustration by Pairpan Mathaprechakun
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น