บทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่อง Riding Alone For Thousands Of Miles
บทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่อง Riding Alone For Thousands Of Miles
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjxRmhimaMxSgN02fHL8LF1DCAtb2CkTBogA4zW1wEblfJe1xI-TTK7LwSKqihO3a79TDhWayM9B6yRsiMR-_6o8WyJAYCRR9sTjNypA8fFqn-ucXyBx4Ji3-Dit-zry4LkJhE2FQmUAu6x/s1600/Riding+Alone+for+Thousands+of+Miles+%282006%29.jpg
เรื่องย่อ
เป็นเรื่องของทาคาตะ พ่อที่ไม่ได้คุยกับลูกชาย เคนอิจิมานานนับสิบปี
วันหนึ่งลูกสะใภ้ของเขาติดต่อให้เขามาเยี่ยมลูกชายที่กำลังป่วยเป็นโรคร้าย
แต่เมื่อมาถึงโรงพยาบาล เคนอิจิกลับไม่ยอมให้เขาพบ ทาคาตะต้องกลับมานั่งดูวิดีโอสารคดีที่ลูกสะใภ้ของเขาให้มา
เป็นสารคดีเกี่ยวกับการแสดงงิ้วที่ลูกชายของเขาเดินทางไปถ่ายทำที่ลี่เจียง
ในมณฑลยูนนานของประเทศจีน มีอยู่ตอนหนึ่งที่เคนอิจิคะยั้นคะยอขอให้นักแสดงงิ้วชื่อว่าหลี่
เจียเหมิน แสดงบทเรื่อง Riding Alone แต่หลี่รู้สึกไม่สบายและไม่อยากแสดงในตอนนั้น หลี่บอกเคนอิจิว่า
ปีหน้าให้เคนอิจิกลับมาอีกแล้วเขาจะแสดงให้ดู สิ่งที่เคนอิจิกับหลี่คุยกัน ทำให้ทาคาตะตัดสินใจเดินทางสู่ลี่เจียง
เพื่อทำในสิ่งที่เขาเชื่อว่าจะเป็นการสานฝันให้กับลูกชาย และบางที อาจจะเป็นสะพานให้กับเขาและเคนอิจิได้เข้าหากันอีกครั้งหนึ่ง
แต่กลายเป็นว่าเมื่อเขาไปถึงลี่เจียง ณ หมู่บ้านเดียวกันกับที่ลูกชายเขามา นายหลี่นี่ก็โดนจับเข้าคุกไปแล้ว ด้วยข้อหาฟันแสกหน้าชาวบ้านชาวช่อง ซึ่งตัวทาคาตะเอง ก็ไม่ต้องการให้คนอื่นแสดง นอกจากหลี่ ทำให้เขาต้องต่อสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ รวมถึงภารกิจบางอย่างที่ทำให้เขาและลูกชายได้เรียนรู้และเข้าใจกันในที่สุด แม้จะอยู่ห่างกันเป็นพันๆ ไมล์
แต่กลายเป็นว่าเมื่อเขาไปถึงลี่เจียง ณ หมู่บ้านเดียวกันกับที่ลูกชายเขามา นายหลี่นี่ก็โดนจับเข้าคุกไปแล้ว ด้วยข้อหาฟันแสกหน้าชาวบ้านชาวช่อง ซึ่งตัวทาคาตะเอง ก็ไม่ต้องการให้คนอื่นแสดง นอกจากหลี่ ทำให้เขาต้องต่อสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ รวมถึงภารกิจบางอย่างที่ทำให้เขาและลูกชายได้เรียนรู้และเข้าใจกันในที่สุด แม้จะอยู่ห่างกันเป็นพันๆ ไมล์
ทฤษฎี Post
Modern
จากภาพยนตร์ได้เล่าถึงตัวเอกที่เป็นคนญี่ปุ่นโดดเดี่ยวจนวันหนึ่งเขาได้รู้ข่าวว่าลูกชายของเขาป่วยจึงเดินทางไปเยี่ยมแต่กลับไม่ได้เยี่ยมเพราะลูกชายได้ไล่เขาผ่านทางลูกสะใภ้
ลูกสะใภ้จึงส่งเทปของลูกชายที่ไปถ่ายทำงิ้วที่ประเทศจีน เขาจึงเดินทางไปประเทศจีนและได้รับการตอนรับเป็นอย่างดี
ซึ่งหากตามความเป็นจริงแล้วประเทศจีนและประเทศญี่ปุ่น เป็นศัตรูกันตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่
2 ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่คนจีนจะทำดีกับคนญี่ปุ่น แต่ในเรื่องนี้
คนจีนพร้อมจะช่วยเหลือชายญี่ปุ่นคนเดียวอย่างเต็มที่และต้อนรับเขาอย่างยิ่งใหญ่และเป็นมิตร
ทฤษฎีสุนทรียศาสตร์
จะเห็นได้ว่าภาพบรรยากาศต่างๆในภาพยนตร์นั้น
มีความสวยงามของธรรมชาติเป็นอย่างมาก นอกจากจะสวยงามแล้ว
บรรยากาศต่างๆในภาพยนตร์ยังช่วยในการสื่ออารมณ์ของตัวละครอีกด้วย เช่น
ฉากที่ตัวเอกได้รับการต้อนรับจากชาวหมู่บ้านศิลา ที่กินเลี้ยงต้อนรับ
ภายในฉากแสดงให้เห็นถึงความสุขและสนุกสนานของผู้คนทำให้คนดูรู้สึกไปด้วย และอีกฉากคือฉากที่หยางหยางได้วิ่งหนีตัวเอกจนหลงป่า
ผู้กำกับก็ใช้ภาพธรรมชาติของสถานที่สื่อถึงความซับซ้อน จนถึงฉากที่มืดลงหยางหยาง
กับตัวเอกหาที่พักแต่จู่ๆหยางหยางก็วิ่งออกมา ปรากฏว่าออกมาทำธุระถ่ายหนัก ภาพนี้เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตคนจีนในชนบท
และสื่ออกมาให้เรารู้สึกว่ามันไม่น่าเกลียด เป็นต้น
ทฤษฎีสัญญวิทยา
ในเรื่องนี้มีสัญญะในรูปแบบต่างๆ
ที่ใช้สื่อความหมาย ทำให้ผู้ชมสามารถเข้าใจและรับรู้ได้อย่างไม่สะดุด และสื่อความหมายได้ดีเยี่ยม
เช่น คนจีนจะใช้แผ่นป้ายสีแดงและมีคำขอบคุณเพื่อแสดงความขอบคุณ
ซึ่งในเรื่องตัวเอกต้องการความช่วยเหลือเป็นอย่างมากที่จะต้องเข้าไปในคุก
แต่กลับถูกปฏิเสธเพราะด้วยกฎหมายและความพยายามของทางนั้นมีไม่พอ
ตัวเอกของเรื่องจึงคิดวิธีการออกโดยการนำป้ายสีแดงนี้มอบให้กับผู้ที่จะช่วยเหลือ
พร้อมกับบอกความจริงว่าที่เขาต้องเข้าไปในคุกนั้นเขามีเหตุจำเป็น
ลูกชายของเขากำลังจะตายและนี่ก็เป็นสิ่งที่ลูกชายของเขาต้องการจะทำเป็น
เขาจึงขอร้องให้คนจีนพวกนั้นช่วยเหลือ
อีกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือลูกของตัวเองใช้หน้ากากงิ้วเป็นสัญลักษณ์ของการใช้ชีวิตของเขา
ที่เขาชอบหรือหลงรักหน้ากากเป็นเพราะเขาพยายามปิดบังตนเองจากความจริงที่เขานั้นเกลียดพ่อของเขาทั้งๆ
ที่เขาก็เป็นเหมือนพ่อ ทำให้เขาไม่อยากยอมรับความจริง
เขาจึงใช้หน้ากากเพื่อบดบังสิ่งนี้ เหมือนกับการใช้ชีวิตของคนในสังคมที่ทุกคนต้องมีปมอย่างหนึ่งและต้องใส่หน้ากากเพื่อเผชิญหน้ากับสิ่งนั้น
แต่ถึงยังไงเราก็ต้องถอดมันออกอยู่ดี
สัญญะอีกอย่างหนึ่งคือนกหวีดขอความช่วยเหลือเป็นตอนที่ตัวเอกและหยางหยางนั้นหลงป่าเวลาก็มืดลง
ทั้งคู่จึงหาทางเพื่อให้คนภายนอกเห็นที่ตั้งของตนเองโดยตัวเอกใช้แฟลชในการส่องแสงในตอนกลางคืนและใช้นกหวีดเป่าเพื่อส่งเสียงและในตอนสุดท้ายหยางๆได้เป่านักหวีดก่อนที่จะแยกจากกับตัวเอกเหมือนเป็นสัญลักษณ์ที่ทั้งคู่รู้กันแค่สองคน
นอกจากนี้ยังมีสัญญะทางด้านการสื่อสาร เช่น
จะเห็นได้ชัดว่าตัวละครต้องออกเดินทางไปต่างถิ่น
ซึ่งในตอนแรกเขาได้จ้างล่ามเพื่อจะได้ง่ายต่อการสื่อสาร ซึ่งเขาได้จ่างมาแค่ 3 วัน
และเกิดปัญหาขึ้นเพราะคนแสดงงิ้วได้ติดคุกทำให้ตัวเอกต้องอยู่ในประเทศจีนนานขึ้น
ล่ามที่จ้างมาก็มีที่ต้องไปต่อ ล่ามจึงช่วยเหลือเขา ให้เจ้าของงิ้วเป็นล่ามให้แทน
เจ้าของงิ้วสามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้แต่ก็ไม่มากนักทำให้การสื่อสารนั้นยากพอสมควร
แต่ด้วยภาษาทางร่างกาย เช่นการยกมือไหว้ เพื่อขอบคุณ ก็เป็นสัญญะที่ตัวเอกแสดงออกไปโดยพูดภาษาญี่ปุ่นก็ทำให้คนจีนสามารถรู้ความหมายได้
นอกจากนี้ยังมีฉากที่ตัวเอกหลงป่ากับหยางหยาง
หยางหยางนั้นเป็นเหมือนตัวแทนของลูกเขา ทำให้เขาคิดถึงความใกล้ชิดที่เขามีต่อลูก
ทำให้เขาเกิดความผูกพันกับหยางหยางมากขึ้น ทั้งการกอด
ที่มาจากความรู้สึกจริงๆที่เราสามารถรู้สึกได้จากการดูเพราะ ลักษณะการแสดงท่าทางของตัวเอกที่เขากอดอย่างจริงใจ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น