เกลียดตัว (อะไร) กินไข่ ?
เกลียดตัว (อะไร) กินไข่ ?
Story By Sorarat Jirabovornwisut
“สลัดผักจานนี้หนูคงชอบ”
ลูกสาวตอบ... “แม่ขา หนูว่าเหม็น!”
กอดอกชูหน้าเชิดเปิดประเด็น
“หนูไม่เห็นผักพวกนี้ดียังไง”
“ดื่มน้ำผักกล่องนี้สิดีแน่
เสริมความงาม ลดความแก่ แม่รู้ไหม
วิตามินสารพัดคัดสรรไว้
ยุคนี้ใครต่อใครกินจนชินตา”
แม่ส่ายหัว... “เกลียดตัวเขา กลับเอาไข่
เกลียดปลาไหล กินน้ำแกง โบราณว่า”
ลูกสาวนั่งทำตาปริบรีบแย้งมา
“คุณแม่ขา... เกลียด ‘ตัว’ ไหน อะไรกัน ?” สำนวนที่ว่า เกลียดตัวกินไข่ หรือที่มักต่อท้ายว่า
เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง นั้น มีความหมายว่า...เกลียดตัวเขาแต่อยากได้ผลประโยชน์จากเขา
ที่ว่า เกลียดปลาไหลกินน้ำแกงนั้น ก็ฟังดูเข้าเค้าอยู่เพราะปลาไหล เป็นปลาที่หลายคนรังเกียจว่าเหมือนงูเมื่อเอาทำแกง จึงไม่กินเนื้อปลาไหลซดแต่น้ำแกงเพราะชอบรสชาติแต่ที่ว่าเกลียดตัวกินไข่ หลายคนอาจสงสัย...ไอ้เจ้าตัวที่ว่านี่คือตัวอะไร แถมยังมีไข่ด้วย ?ไม่ต้องมีปัญหาคาใจกันอีกต่อไป เพราะเจ้าตัวที่ว่านี้ก็คือตัวเหี้ย นั่นเอง
ตัวเหี้ย cr : http://www.techxcite.com/uploads/20120629161502.jpg
เพราะเจ้าตัวที่ว่า มีชื่อตามนั้นจริงๆ...จะเปิดพจนานุกรมค้นหา หรือจะนั่งรถไปเขาดินวนาแล้วหาดูที่หน้ากรง ก็จะเห็นชื่ออย่างว่าไม่แผกเพี้ยนเหี้ย เป็นสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งเรียกขานขนานนามนี้มาแต่โบร่ำโบราณแต่ปัจจุบันกาล มักใช้เป็นคำด่าทอบางทีก็ใช้พูดเป็นคำสร้อยนำหน้าชื่อเพื่อนสนิทกันมากๆ ก็มีไม่รู้เพื่อนจะดีใจหรือเสียใจ...คนโบราณถือว่าเหี้ยเป็นสัตว์น่ารังเกียจหากวันดีคืนดีเลื้อยเข้าบ้านใครก็ถือว่าอัปมงคลบางคนจึงหลีกเลี่ยงการเรียกชื่อเหี้ย หันไปเรียกตัวเงินตัวทอง แทนแต่ที่จริงแล้ว หากเจ้าตัวนี้เลื้อยไปเยี่ยมเยียนบ้านใครใช่ว่าจะอาภัพอับโชคเสียทีเดียวเพราะในคัมภีร์อภิไทโพธิอุบาทว์อันเป็นตำราโบราณที่รวบรวมเกี่ยวกับการเกิดอุบาทว์ สิ่งอัปมงคล
ลางร้าย และวิธีแก้ไขปัดเป่าทั้งปวง กล่าวไว้ว่า...ถ้าเหี้ยหรือตะกวดขึ้นเรือนหรือเข้าบ้านทางทิศไหนจะเกิดเหตุการณ์ดีร้ายต่างกัน ดังนี้…
ทิศบูรพา หรือทิศตะวันออก ทรัพย์สมบัติและบุตรจะฉิบหาย
ทิศอาคเนย์ หรือทิศตะวันออกเฉียงใต้ ไฟจะไหม้บ้าน
ทิศทักษิณ หรือทิศใต้ จะเคราะห์ร้ายถึงชีวิต
มิเช่นนั้นจะได้ทุกข์เจ็บไข้แทบปางตาย
ทิศหรดี หรือทิศตะวันตกเฉียงใต้
โจรจะลักวิ่งชิงปล้นทรัพย์สมบัติ
ทิศประจิม หรือทิศตะวันตก จะได้ลาภ หรือสามีภรรยาอันพึงใจ
ทิศพายัพ หรือทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จะจำเริญสุข
ทิศอุดร หรือทิศเหนือ จะได้ลาภ
ทิศอีสาน หรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ท้าวพระยาจะบูชาและยกย่องแลเห็นไหมล่ะว่า... หากเลื้อยมาถูกทิศชีวิตก็อาจจะรุ่งโรจน์โดยไม่รู้ตัว!
แต่ถ้าดันผ่าเลื้อยเข้าบ้านทางทิศบูรพา อาคเนย์ ทักษิณ หรือหรดี ก็อย่าเพิ่งเสียขวัญ ตกอกตกใจไป
เขามีวิธีแก้เคล็ด!
วิธีการก็คือ...ถ้าเหี้ยหรือตะกวดเลื้อยขึ้นเรือนตามทิศดังกล่าวเขาให้เร่งบูชาด้วยเหล้า ข้าว และธูปเทียนภายใน ๗ วันอย่าให้เกิน ๑๕ วัน แล้วท่านจะได้ลาภอันพึงใจ
ท่านว่าไว้อย่างนั้น...
จริงเท็จประการใด ผมเองยังไม่มีโอกาสได้พิสูจน์บางคนสับสนระหว่างเหี้ยกับตะกวดเรียกผิดๆถูกๆ เป็นประจำเดี๋ยวเจ้าตัวก็น้อยใจแย่ เลยต้องฝากมาแก้ข่าวทำความเข้าใจกันเสียใหม่...
เหี้ย เป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ ชนิด Varanus salvator ในวงศ์ Varanidae ตัวอ้วนใหญ่สีดำมีลายดอกสีขาวหรือเหลืองเป็นแถวพาดขวางตัวลิ้นสีม่วงปลายแยกเป็นสองแฉกคล้ายงู ใช้สำหรับรับกลิ่นหางยาวเป็นปล้องสีดำสลับกับเหลืองอ่อน หนังหยาบเป็นเกล็ด เหี้ยมีรูปร่างคล้ายกิ้งก่าขนาดใหญ่ ตัวโตเต็มวัยยาวได้ถึง ๒.๕-๓ เมตร และเป็นสัตว์สกุลเดียวกับตะกวด
ตะกวด cr : http://board.trekkingthai.com/board/upload/photo/2007-10/1779693_QzzRjFe2cJ2135.jpg
คราวนี้กลับมาพูดเรื่องตัวเงินตัวทองกันต่อ…
เหี้ย พบในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งอินเดียและศรีลังกา ในประเทศไทยพบได้ทุกภาค นิสัยของเหี้ยมักดุร้าย จึงกลายมาเป็นคำด่าในปัจจุบัน มันจะใช้หางเป็นอาวุธฟาดศัตรูแล้วใช้ปากกัดแหม...ช่างดุชะมัดยาก !
คุณเธอชอบอาศัยและหากินอยู่บริเวณใกล้แหล่งน้ำเพราะมันว่ายน้ำทน ดำน้ำอึด แถมยังขึ้นต้นไม้เก่งอีกต่างหาก อาหารการกินก็ไม่เลือกมาก พี่แกกินได้ทั้งนั้นทั้งของสด ของคาว ของเน่าเปื่อย บางทีก็กินสัตว์เป็นๆ อย่างเช่น เป็ด ไก่ นก ปลา กบ เขียด หนู งู หอย รวมทั้งไข่ของสัตว์ชนิดอื่นอีกด้วยแกกินเรียบ เหมาหมด...
เหี้ยจะผสมพันธุ์ในฤดูฝน มันจะจับคู่สมสู่กันโดยไม่เลือกว่าจะต้องเป็นตัวเดิมสำส่อนเหมือนกันนะเนี่ย...
บางครั้งอาจมีการต่อสู้รุนแรงระหว่างตัวผู้เพื่อแย่งชิงตัวเมีย แสดงว่าเหี้ยเป็นสัตว์ที่ชอบใช้กำลัง...
หลังจากผสมพันธุ์กันเรียบร้อยแล้ว ก็จะขุดหลุมหรือทำโพรงเอาไว้เป็นที่สำหรับวางไข่
ไข่ตัวเหี้ย cr : http://pe1.isanook.com/ns/0/ud/351/1757669/news03.jpg
ไข่ของเหี้ยจะมีลักษณะรียาว บางครั้งจะสีขาวขุ่น เปลือกไข่นิ่มแต่เหนียว มันจะวางไข่ครั้งละตั้งแต่ ๖-๕๐ ฟอง ในแต่ละปีจะสามารถวางไข่ได้ ๒-๓ ครั้ง หรืออาจจะมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับโอกาส หลังจากออกไข่แล้ว มันจะกลบเป็นเนินดินแล้วจากไป... เพราะธรรมชาติของเหี้ยจะไม่ฟักไข่เอง พอวางไข่เสร็จสิ้นภารกิจ ก็จะปล่อยให้ลูกน้อยฟักตัวออกมาหากิน เผชิญโลกตามลำพัง โดยไม่หันมาเหลียวแล ไม่รู้ว่าเป็นพ่อแม่ประสาอะไร ไข่ทิ้งไข่ขว้างไปเรื่อย!
ทางภาคเหนือ นิยมจับเจ้าตัวอย่างว่ามาทำอาหารกินกัน เป็น "แกงอ่อม" จานเด็ด รสชาติเผ็ดจัดจ้าน ราคาไม่ใช่ย่อยๆนะคุณ จัดอยู่ในระดับภัตตาคารเลยเชียว ว่ากันว่า...เนื้อเหี้ยจะมีรสชาติคล้ายไก่บ้าน แต่เนื้อจะแน่นมากโดยเฉพาะตรงส่วนโคนหางจะอร่อยที่สุด เพราะเนื้อจะแน่นและมีกระดูกน้อย แต่ปัจจุบันจะมาจับเชือดเนื้อเถือหนังทำแกงอ่อมตามอำเภอใจไม่ได้แล้ว เพราะเขาจัดเหี้ย ให้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช ๒๕๔๐ ขืนจับสุ่มสี่สุ่มห้า มีหวังติดคุกติดตารางไม่รู้ตัว ไข่ของเหี้ย เขาก็เอามากินกัน...
ไข่เหี้ยจะโตกว่าไข่เป็ดมากแต่ว่าเปลือกบุบๆนุ่มนิ่มเหมือนไข่เต่า ก่อนจะรับประทาน เขาจะจัดการเอาของแหลมจิ้มเปลือกไข่ให้เป็นรูเล็กๆเสียก่อนแล้วพรมน้ำเกลือลงไป ก่อนเอาย่างไฟอ่อนๆจนสุก ไข่แดงรสมัน เคี้ยวร่วน กลิ่นหอม เขาว่าอร่อยกว่าไข่เค็มเสียอีก เพราะไข่เหี้ยอร่อยอย่างนี้เอง จึงเป็นบ่อเกิดสำนวนไทยที่ว่า
"เกลียดตัวกินไข่" นั่นเอง
ชาววังยุคเก่ารู้จักและนิยมกินไข่เหี้ยกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายแล้วแม้แต่
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ นั้นก็โปรดเสวยไข่เหี้ยยิ่งนัก
โบราณท่านว่าต้องกินไข่เหี้ยเคียงกับมังคุดจึงจะเข้ากันเห็นทีจะเข้าทำนองเดียวกันกับกินกระยาสารทกับกล้วยไข่กระมัง แต่อาหารเหล่านี้ คงเหลือเพียงในตำนานอาหารไทยเท่านั้น
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ(รัชกาลที่ ๑) cr : http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2012/04/Rama-1.jpg
เล่ากันในพงศาวดารว่า...
อยู่มาวันหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ โปรดจะเสวยไข่เหี้ย แต่ไม่มีผู้ใดสามารถหามาถวายได้เลย เนื่องจากไม่ใช่ฤดูกาลวางไข่ เจ้าจอมแว่น พระสนมในรัชกาลที่ ๑ จึงคิดประดิษฐ์
"ขนมไข่เหี้ย" ขึ้น
วิธีการของเจ้าจอมแว่นก็คือ...นวดแป้งข้าวเหนียวกับน้ำจนนุ่ม
แล้วใส่น้ำตาล นวดให้เข้าจนเป็นเนื้อเดียวกัน
คลึงแป้งออกเป็นแท่งกลมยาว แล้วใช้มีดตัดเป็นท่อนสั้นๆ
คะเนให้ปั้นเป็นก้อนกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑ นิ้ว คล้ายวิธีการทำโรตีอย่างไรอย่างนั้น
จากนั้น ท่านก็ผัดไส้ ใส่น้ำมันหมูลงในกระทะ
ใส่หอมซอยลงผัดพอหอม แล้วจึงใส่ถั่วเราะชนิดขัดเปลือกแล้ว
ผสมกับมันหมูผัดให้เข้ากันดีแล้ว ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย และน้ำตาล ตักใส่ชามพักไว้ให้คลายร้อน
แล้วท่านก็จักแจงแบ่งไส้ ปั้นเป็นก้อนกลมเล็ก ๆ
วางไส้ตรงกลางแป้งที่ตัดแบ่ง นำมาแผ่ไว้จนเป็นแผ่นกลมบาง
แล้วตลบริมแป้งหุ้มไส้ให้มิด คลึงให้กลมทำจนหมด
ตั้งกระทะใส่น้ำมันพอร้อน ใช้ไฟค่อนข้างอ่อน
แล้วจึงใส่ขนมที่ปั้นไว้ลงทอดหมั่นพลิกกลับจนสุกเหลือง
ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน
กลเม็ดเคล็ดลับการทอดคือพอผิวขนมเหลืองและแป้งสุกตักขึ้นจากน้ำมันทันที ถ้า ทอดต่อไปอีกขนมจะแตก แล้วจึงตั้งกระทะทองใส่น้ำตาลและน้ำเคี่ยวไปจนน้ำเชื่อมเป็น ยางเหนียว จึงใส่ขนมลงคลุกให้น้ำตาลจับให้ทั่วขนม ผึ่งให้เย็นแล้วจึงตั้งเครื่องถวาย
คิดๆดู
เจ้าจอมแว่นก็คล้ายแดจังกึมของเกาหลีเหมือนกันแฮะ...
ขนมไข่เหี้ย cr : https://www.youtube.com/watch?v=dhSY5XhyfF8
ผลปรากฏว่า...ขนมไข่เหี้ยที่มีไส้ข้างในเป็นถั่วกวนปรุงรสออกหวานๆ เค็มๆ ซ่อนเผ็ดนิดๆ หุ้มด้วยแป้งทอด เคล้าน้ำตาลเคลือบบางๆรสชาติถูกพระทัยพระองค์ท่าน!
ขนมไข่เหี้ยของเจ้าจอมแว่น จึงกลายเป็นเครื่องว่างหรือของเสวยยามบ่าย นับแต่นั้นเป็นต้นมา...ต่อมา จึงมีผู้เรียกขนมไข่เหี้ยนี้ด้วยชื่อใหม่ให้ฟังดูหรูหราและไม่ระอิดระอาเวลากินว่า...
"ขนมไข่หงส์"
แม้ในปัจจุบันนี้ ก็ยังเห็นมีคนนำขนมชนิดนี้ใส่ตะกร้าคล้องแขนเดินขายกันตามท้องถนน แม้กระทั่งตามสี่แยกไฟแดงอยู่เนืองๆ ขนมไข่เหี้ยหรือไข่หงส์ จึงยังคงเป็นอาหารว่างที่หลายๆคนโปรดปรานบางท่านอาจสงสัย เจ้าจอมแว่นผู้นี้เป็นใครกันช่างคิดสรรขนมไทยได้อร่อยถูกใจเยี่ยงนี้...
เจ้าจอมแว่น cr : https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhC37-Qil8Z-kMIOxZSTCv6F-G5DhZnmHVV5FWmjXeNlMhL6R9EITEMfWzEpLZZlhwjhWm_iN28pkxvi8AJ4wvaRr1HTvv4FGL4Hgd4v5Ymi0eXxZ2QfZjPmSRzGl-xj3Wk8bKGaqE_dVdP/s1600/20100801055129.jpg
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงเล่าประวัติของเจ้าจอมแว่นไว้ในหนังสือ สาส์นสมเด็จ ว่า...
เจ้าจอมแว่นนั้น เดิมชื่อนางคำแว่น เป็นชาวเวียงจันทน์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้มาเป็นบาทบริจาตั้งแต่เมื่อครั้งยังทรงดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเป็นแม่ทัพยกไปตีได้นครเวียงจันทน์ ในคราวนั้น ท่านได้นำหญิงงามนางหนึ่งกลับลงมาด้วย นางก็คือ “คำแว่น” ธิดาของท้าวเพี้ยเมืองแพน
นางคำแว่นมีความจงรักภักดีในการปฏิบัติชอบพระราชอัธยาศัยพระองค์ท่านจึงได้เป็นอุปฐากมาตั้งแต่ก่อนขึ้นครองราชย์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เสวยราชย์แล้ว นางคำแว่นก็ได้เป็นพระสนมเอก แต่อาจจะเพ็ดทูลได้ผิดกับพระสนมอื่นๆด้วยเหตุที่นางคำแว่นอยู่ประจำพระองค์เสมอ เวลาพระเจ้าลูกเธอที่ยังทรงพระเยาว์ขึ้นเฝ้าจึงอยู่ในความดูแลของเธอ
บางทีก็เห็นจะขู่ลู่เจ้านายเล็กเหล่านั้น จึงพากันกลัวเกรงตั้งสมญา เรียกกันว่า “คุณเสือ” คนอื่นๆคงเห็นเข้าท่า จึงเอามาเรียกบ้างเจ้าจอมแว่นจึงมีสมญาว่า คุณเสือ อีกนามหนึ่ง...
นามคุณเสือนี้ ถ้ากล่าวตามเรื่องราวของตระกูลรุ่นหลานเหลนที่เล่าสืบต่อกันมาจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง ดังนี้...
บ่ายวันหนึ่ง ขณะที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯบรรทมได้ทรงละเมอร้องขึ้นด้วยพระสุรเสียงอันดังเป็นเวลานานบรรดานางสนมกำนัลพากันตกอกตกใจแต่ก็ไม่มีใครกล้าปลุกพระองค์ด้วยเกรงพระราชอาญา ขณะที่ทุกคนพากันตกตะลึงกลัวอยู่นั้นนางคำแว่นซึ่งเป็นนางข้าหลวงของนางเขียวค่อมอยู่ในที่นั้นด้วยนางคำแว่นได้คลานเข้าไปใกล้แท่นบรรทมกราบถวายบังคมแล้วใช้ปากกัดที่นิ้วพระบาท เป็นเหตุให้ทรงรู้สึกพระองค์ พระองค์ท่านได้ตรัสถามว่า...ใครเป็นคนปลุกพระองค์ ?
นางเขียวค่อมซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตได้กราบทูลว่า...
นางคำแว่นเป็นผู้ปลุกด้วยวิธีเอาปากกัดนิ้วพระบาท เป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ
โปรดในความจงรักภักดีและความกล้าหาญของคุณแว่นเป็น อันมาก เพราะตามปกติแล้วจะไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปแตะต้องพระวรกายของพระมหากษัตริย์ แต่ที่นางคำแว่นกล้าทำก็เพราะมีความจงรักภักดีเป็นที่ตั้งจึงเป็นที่พอพระราชหฤทัย พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามแก่คุณแว่นเป็น “ท้าวเสือ” เพื่อเป็นเกียรติสมกับความกล้าหาญของนางผลแห่งการกัดนิ้วพระบาทของท้าวเสือได้ส่งผลไปถึงท้าวเพี้ยเมืองแพนผู้บิดาซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นพระนครศรีบริรักษ์ผู้ว่าราชการเมืองขอนแก่นอีกด้วย
เจ้าจอมแว่นหรือท้าวเสือพระสนมเอกก็คงมีความปรารถนาเหมือนเจ้าจอมคนอื่นๆที่ปรารถนาจะมีพระองค์เจ้าเพราะปรากฏว่าที่ในวิหารพระโลกนาถเคยมีรูปจำหลักด้วยศิลาอ่อน ทำเป็นเด็กแต่งเครื่องอาภรณ์ติดฝาผนังไว้ ๒ ข้างพระพุทธรูป
เล่ากันว่า เมื่อสร้างวัดพระเชตุพนนั้นเจ้าจอมแว่นได้กราบทูลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชว่า...อยากจะทำบุญ อธิษฐานขอให้มีลูก พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำรูปเด็ก ๒ รูปขึ้นเป็นอย่างเครื่องประดับวิหาร
วัดพระเชตุพน cr : https://waipra9wat.files.wordpress.com/2015/11/e0b8a7e0b8b1e0b894e0b89ee0b8a3e0b8b0e0b980e0b88ae0b895e0b8b8e0b89ee0b899e0b8a7e0b8a3e0b8b2e0b8a3e0b8b2e0b8a1-2015.jpg
ที่ใต้รูปเด็กนั้นต่อมามีโคลงจารึกไว้ ๒ บทว่า
รจนาสุดารัตนแก้ว กุมารี หนึ่งฤา
เสนออธิบายบุตรี ลาภไซร้
บูชิตเชษฐ์ชินศรี เฉลาฉลัก หินเฮย
บุญส่งจงลุได้ เสด็จด้วยดั่งถวิล
กุมารหนึ่งพึงฉลักตั้ง ติดผนัง
สถิตอยู่เบื้องหลัง พระไว้
คุณเสือสวาดิหวั แสวงบุตร ชายเฮย
เฉลยเหตุธิเบศร์ให้ สฤษดิแสร้งแต่งผล
ในสมัยแรก คงจะมีแต่รูปเด็กเท่านั้น และก็เป็นความนัยที่รู้กันแต่เฉพาะคนใกล้ชิด ไม่แพร่งพรายเปิดเผยให้ใครในสมัยนั้นได้ล่วงรู้ ต่อมา ภายหลังผู้ที่รู้ความจึงได้แต่งโคลงกำกับไว้ให้คนรุ่นหลังได้รู้โดยทั่วกัน...
เจ้าจอมแว่นเป็นพระสนมเอกที่รัชกาลที่ ๑ ทรงเมตตาสามารถกราบทูลทักท้วงเรื่องร้ายแรงอะไรต่างๆได้ในขณะที่คนอื่นๆไม่กล้า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรง ไว้ในสาส์นสมเด็จตอนหนึ่งว่า เขาเล่าว่า...
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้สมเด็จพระเจ้าหลานเธอเจ้าฟ้าบุญรอดหรือสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์จนตั้งครรภ์เจ้าจอมแว่นได้เข้าเฝ้ากราบทูลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯให้ทรงทราบและด้วยความสามารถของท่านจึงกราบทูลดับพิโรธไว้ได้มีเรื่องของเจ้าจอมแว่นที่เกี่ยวข้องกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชอีกเรื่องหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความกล้าของเจ้าจอมแว่นผู้นี้ เรื่องมีอยู่ว่า...
รัชกาลที่ ๑ มีรับสั่งให้สร้างพระโกศทองใหญ่แล้วเสร็จในปีมะโรง พุทธศักราช ๒๓๓๑ เพื่อปลงพระศพสมเด็จพระพี่นางทั้งสองพระองค์ได้มีรับสั่งให้เชิญเข้ามาตั้งถวายทอดพระเนตรในพระที่นั่งไพศาลทักษิณซึ่งเสด็จประทับอยู่คุณเสือพระสนมเอกเห็นพระโกศเข้าก็ร้องไห้ล่วงหน้าเสียก่อน
ทูลห้ามปรามว่า...ทรงทำอะไรเช่นนั้นน่ากลัวเป็นลาง !
แต่พระองค์มีรับสั่งว่า... กูไม่ถือ
ไม่เอามาตั้งดูทำไมกูจะได้เห็น
จึงเป็นเหตุให้ตั้งพระโกศทองใหญ่ถวายทอดพระเนตรอยู่เป็นหลายวัน... จอมแว่นเป็นผู้ที่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างกล้าแข็งมากมีหลักฐานปรากฏว่า...เมื่อครั้งมีงานเทศน์มหาชาติเมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๔๘ คุณเสือได้เอาพวกเด็กๆหัวจุกที่เป็นลูกทาส แต่งตัวหมดจดใส่กระจาดกัณฑ์เทศน์ถวายพระให้เป็นสิทธิขาดให้วัดไปเลย นับเป็นเครื่องติดกัณฑ์เทศน์ที่แปลกประหลาดอีกอย่างหนึ่งซึ่งเกิดจากความคิดของคุณเสือบางทีท่านอาจจะอธิษฐานให้มีบุตรชายในอนาคตกาลด้วยก็ได้...
หลังจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าเสด็จสวรรคตเปลี่ยนแผ่นดินแล้ว เจ้าจอมแว่นก็สิ้นวาสนาท่านได้ไปสมัครสมานอยู่กับเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯเพราะเป็นเชื้อสายชาวเวียงจันทน์ด้วยกันช่วยเลี้ยงสมเด็จพระเจ้าลูกเธอที่เจ้าฟ้ากุณฑลฯ เป็นพระมารดา
ทั้ง ๔ พระองค์ คือ เจ้าฟ้าอาภรณ์ เจ้าฟ้าชายกลาง เจ้าฟ้าหญิง และเจ้าฟ้าชายปิ๋ว
เจ้าจอมแว่นมาถึงแก่อสัญกรรมในสมัยรัชกาลที่ ๒ ประวัติของเจ้าจอมแว่นหรือคุณเสือ ผู้ประดิษฐ์ขนมไข่เหี้ยก็เอวังลงด้วยประการฉะนี้...
แม้ว่าคนไทยในอดีต จะเชื่อกันว่าถ้าเหี้ยขึ้นบ้านใครบ้านนั้นจะมีแต่ความโชคร้ายจนถึงกับต้องเปลี่ยนนามแก้เคล็ดเป็น ‘ตัวเงินตัวทอง’ แทน แต่สำหรับการเมืองไทยในยุคสมัยเพิ่งเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น เมื่อไม่ชอบหน้าใคร ก็มักจะปล่อยเจ้าตัวที่ว่านี้ไปเพ่นพ่านแถวๆหน้ารัฐสภา
หรือว่าจะถือเคล็ด ให้เงินทองไหลมาเทมาก็สุดจะเดา...
Cover Illustration by Pairpan Mathaprechakun
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น